เทรดกราฟเปล่าคืออะไร เทคนิค มีอะไรบ้าง รูปแบบกราฟเปล่า มีกี่แบบ

Table of Contents

เทรดกราฟเปล่าคืออะไร

เทรดกราฟเปล่าคืออะไร เทคนิค มีอะไรบ้าง รูปแบบกราฟเปล่า มีกี่แบบ
เทรดกราฟเปล่าคืออะไร เทคนิค มีอะไรบ้าง รูปแบบกราฟเปล่า มีกี่แบบ

“เทรดกราฟเปล่า” หรือ “เทรดกราฟ” (ที่อังกฤษเรียกว่า “trading chart” หรือ “chart trading”) คือการศึกษาและการทำธุรกรรมในตลาดการเงินโดยใช้กราฟราคาของสินทรัพย์หรือสินค้าเป็นเครื่องมือหลักในการตัดสินใจการซื้อหรือขาย การเทรดกราฟเปล่ามักจะใช้ในการซื้อขายหุ้น, สกุลเงิน, สินค้า, หรือสินทรัพย์อื่น ๆ ในตลาดทุกชนิด

กราฟราคาเป็นการแสดงข้อมูลเกี่ยวกับราคาของสินทรัพย์หรือสินค้าตลาดนั้น ๆ ในระยะเวลาที่แตกต่างกัน (เช่น กราฟเปิด-ปิดราคา, กราฟแท่งเทียน, หรือกราฟเส้น) การวิเคราะห์กราฟเป็นการศึกษารูปแบบและโครงสร้างของกราฟราคาเพื่อให้มีความเข้าใจเกี่ยวกับแนวโน้มราคา และใช้ข้อมูลนี้ในการตัดสินใจว่าควรซื้อหรือขายสินทรัพย์หรือสินค้านั้นในขณะนั้น

นักเทรดที่ใช้เทรดกราฟเปล่ามักจะใช้เครื่องมือเพิ่มเติมเช่น เส้นสนับสนุนและเส้นความต้าน, ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (Moving Averages), แบบอินดิเคเตอร์ (indicators) เพื่อช่วยในการวิเคราะห์กราฟและการตัดสินใจการซื้อขาย

เทคนิค มีอะไรบ้าง

เส้นสนับสนุนและเส้นความต้าน (Support and Resistance)

  • เส้นสนับสนุน (Support Line): เส้นสนับสนุนเป็นระดับราคาที่มักจะอยู่ด้านล่างของราคาปัจจุบันและมีลักษณะที่ราคานั้นมักจะหยุดลงต่ำกว่าระดับนี้ คือการแสดงระดับที่มีความหนาแน่นของผู้ซื้อที่จะสนับสนุนราคาที่นั่น ซึ่งอาจกล่าวถึงว่าตลาดมีความเห็นด้านบวกในระดับราคานี้
  • เส้นความต้าน (Resistance Line): เส้นความต้านเป็นระดับราคาที่มักจะอยู่ด้านบนของราคาปัจจุบันและมีลักษณะที่ราคานั้นมักจะหยุดขึ้นสูงกว่าระดับนี้ คือการแสดงระดับที่มีความหนาแน่นของผู้ขายที่จะต้านการขึ้นของราคา ซึ่งอาจกล่าวถึงว่าตลาดมีความเห็นด้านลบในระดับราคานี้

ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (Moving Averages)

เป็นเครื่องมือทางเทคนิคที่ใช้ในการวิเคราะห์กราฟราคาของสินทรัพย์หรือสินค้าในตลาดการเงิน ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ช่วยในการประเมินแนวโน้มราคาและลบความเบี่ยงเบนจากความเรียบร้อยของราคา โดยอาศัยค่าเฉลี่ยของราคาในช่วงเวลาที่กำหนดไว้เพื่อสร้างกราฟเส้นค่าเฉลี่ยที่ช่วยในการแสดงแนวโน้มราคาแบบสามารถติดตามได้ง่าย

แบบอินดิเคเตอร์ (Indicators)

แบบอินดิเคเตอร์ (Indicators) ในที่นี้หมายถึงเครื่องมือทางเทคนิคที่ใช้ในการวิเคราะห์และการตัดสินใจการซื้อขายในตลาดการเงิน โดยมีหลายประเภทและรูปแบบต่าง ๆ ให้เลือกใช้ แบบอินดิเคเตอร์มักถูกนำมาใช้เพื่อช่วยในการประมวลผลข้อมูลราคาและเป็นส่วนสำคัญในการสร้างกลยุทธ์การซื้อขาย

แนวทางการอธิบายแบบอินดิเคเตอร์

  • อินดิเคเตอร์แบบสถิติ (Statistical Indicators): ประกอบด้วยตัวชี้วัดทางสถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์แนวโน้มและความแปรปรวนของราคา ตัวอย่างที่นิยมรวมถึงค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (Moving Averages), ค่าเบตา (Bollinger Bands), และค่าอินดิเคเตอร์ที่ใช้ในการวิเคราะห์ความแปรปรวนของราคา (Volatility Indicators) เช่น แอตริบิวชั่น (ATR – Average True Range)
  • อินดิเคเตอร์แบบโครงสร้างราคา (Price Structure Indicators): ใช้ในการวิเคราะห์โครงสร้างและระดับราคา ตัวอย่างเช่น ระดับเส้นสนับสนุนและเส้นความต้าน (Support and Resistance), แบบฮีกเกอร์ (Head and Shoulders), และเส้นแนวโน้ม (Trendlines)
  • อินดิเคเตอร์แบบโครงสร้างเวลา (Time Structure Indicators): ใช้ในการวิเคราะห์ระยะเวลาของราคา ตัวอย่างเช่น หลายรูปแบบของกราฟแท่งเทียน (Candlestick Patterns) และระดับ Fibonacci
  • อินดิเคเตอร์แบบแมคโร (Momentum Indicators): ใช้ในการวิเคราะห์ความเร็วและแรงของแนวโน้มราคา ตัวอย่างเช่น ค่าสเต็คแคสติกส์ (Stochastic Oscillator), แมคดี (MACD – Moving Average Convergence Divergence), และ อีเรเชียลเทียล (Relative Strength Index – RSI)
  • อินดิเคเตอร์แบบปริมาณ (Volume Indicators): ใช้ในการวิเคราะห์ปริมาณการซื้อขาย ตัวอย่างเช่น บอลิวม์ (Volume), อาเดอร์เชนซ์ (Accumulation/Distribution), และอินดิเคเตอร์ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับปริมาณการซื้อขาย
  • อินดิเคเตอร์แบบสัญญาณ (Signal Indicators): ใช้ในการสร้างสัญญาณการซื้อขาย ตัวอย่างเช่น อินดิเคเตอร์ที่ใช้ร่วมกับค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่เพื่อสร้างสัญญาณซื้อขาย

แบบแท่งเทียน (Candlestick Patterns)

แบบแท่งเทียน (Candlestick Patterns) เป็นเครื่องมือทางเทคนิคที่ใช้ในการวิเคราะห์และการตัดสินใจการซื้อขายในตลาดการเงิน แบบแท่งเทียนถูกสร้างขึ้นจากข้อมูลราคาและประกอบด้วยแท่งเทียนซึ่งมีสองส่วนหลัก ๆ ตัวร่าง (body) และแว่น (wick) หรือแท่งเทียน (candlestick) แต่ละแบบของแท่งเทียนสามารถสร้างสัญญาณการซื้อขายและขายในตลาด

อธิบายแบบแท่งเทียนบางแบบที่นิยมใช้

  • แท่งเทียนหลัก (Doji): แท่งเทียนประกอบด้วยตัวร่างเล็ก ๆ กลาง ๆ ที่แสดงถึงการต่อสู้ระหว่างผู้ซื้อและผู้ขาย แท่งเทียนแบบนี้มักถูกใช้ในการแสดงถึงความไม่แน่นอนในตลาด และอาจแสดงถึงการเปลี่ยนแปลงแนวโน้มเร็ว ๆ นี้
  • แท่งเทียนบรรจุเข้า (Bullish Engulfing): แท่งเทียนแบบนี้เป็นสัญญาณการซื้อขายที่แข็งแกร่ง เมื่อแท่งเทียนในวันก่อนหน้ามีตัวร่างลดลงและแท่งเทียนในวันปัจจุบันบรรจุเข้าไปภายในแท่งเทียนของวันก่อนหน้า แสดงถึงการบังคับแนวโน้มขาขึ้น
  • แท่งเทียนบรรจุออก (Bearish Engulfing): แท่งเทียนแบบนี้เป็นสัญญาณการขายที่แข็งแกร่ง เมื่อแท่งเทียนในวันก่อนหน้ามีตัวร่างขึ้นขึ้นและแท่งเทียนในวันปัจจุบันบรรจุออกจากแท่งเทียนของวันก่อนหน้า แสดงถึงการบังคับแนวโน้มขาลง
  • แท่งเทียนหมุน (Hammer and Hanging Man): แท่งเทียนแบบนี้มีตัวร่างยาวที่บางครั้งมีแว่นที่ยาวออกไปจากตัวร่าง แท่งเทียน Hammer แสดงถึงการพลิกแนวโน้มจากต่ำไปสู่สูง ในขณะที่ Hanging Man แสดงถึงการพลิกแนวโน้มจากสูงไปสู่ต่ำ
  • แท่งเทียนตราตรึง (Shooting Star and Inverted Hammer): แท่งเทียน Shooting Star มีตัวร่างยาวที่บางครั้งมีแว่นที่ยาวออกไปจากตัวร่าง แท่งเทียนนี้มักแสดงถึงการพลิกแนวโน้มจากสูงไปสู่ต่ำ ในขณะที่ Inverted Hammer มีลักษณะคล้ายกันแต่แสดงถึงการพลิกแนวโน้มจากต่ำไปสู่สูง
  • แท่งเทียนรูด (Engulfing Patterns): แท่งเทียนรูดเป็นสัญญาณการซื้อขายที่แข็งแกร่งและประกอบด้วยสองแท่งเทียน แท่งเทียนในวันปัจจุบันจะบรรจุเข้าไปในแท่งเทียนของวันก่อนหน้า เป็นสัญญาณการเปลี่ยนแนวโน้ม
  • แท่งเทียนฮาร์มิกัน (Harami): แท่งเทียนแบบนี้ประกอบด้วยสองแท่งเทียน แท่งเทียนในวันปัจจุบันจะอยู่ภายในแท่งเทียนของวันก่อนหน้า แท่งเทียนแบบนี้อาจแสดงถึงการละเมิดแนวโน้มและการเปลี่ยนแปลงที่เป็นไปได้

การวิเคราะห์กราฟแบบเทคนิค (Technical Analysis)

การวิเคราะห์กราฟแบบเทคนิค (Technical Analysis) เป็นเครื่องมือในการวิเคราะห์และการตัดสินใจการซื้อขายในตลาดการเงิน โดยใช้ข้อมูลราคาและปริมาณการซื้อขายของสินทรัพย์หรือสินค้า เป้าหมายหลักของการวิเคราะห์เทคนิคคือการจำลองแนวโน้มของราคาในอนาคตเพื่อตัดสินใจการซื้อหรือขาย

แนวทางการอธิบายการวิเคราะห์กราฟแบบเทคนิค

  • ใช้ข้อมูลราคาและปริมาณ: การวิเคราะห์เทคนิคใช้ข้อมูลหลักคือราคาของสินทรัพย์หรือสินค้า และปริมาณการซื้อขายในการสร้างกราฟราคาและตัวชี้วัดทางเทคนิคเพื่อตรวจสอบแนวโน้ม
  • กราฟแท่งเทียน (Candlestick Charts) หรือกราฟเส้น (Line Charts): สำหรับการวิเคราะห์เทคนิค, กราฟแท่งเทียนนิยมใช้มากที่สุด แต่กราฟเส้น (Line Charts) และกราฟแท่งเทียน (OHLC – Open, High, Low, Close Charts) ก็มีการใช้งานอยู่ กราฟแท่งเทียนแสดงราคาเปิด (Open), ราคาสูงสุด (High), ราคาต่ำสุด (Low), และราคาปิด (Close) ในแต่ละช่วงเวลา (เช่น 1 วัน, 1 ชั่วโมง, 15 นาที, เป็นต้น)
  • แนวโน้ม (Trends): การวิเคราะห์เทคนิคใส่ใจในการระบุแนวโน้มของราคา มันสามารถเป็นแนวโน้มขาขึ้น (Uptrend) แนวโน้มขาลง (Downtrend) หรือแนวโน้มแบบข้างๆ (Sideways) การรู้จักแนวโน้มที่มาพร้อมกับการตรวจสอบระดับเส้นสนับสนุน (Support) และระดับเส้นความต้าน (Resistance) มีความสำคัญในการตัดสินใจการซื้อขาย
  • การใช้ตัวชี้วัดทางเทคนิค (Technical Indicators): มีหลายตัวชี้วัดทางเทคนิคที่ใช้ในการเพิ่มความแม่นยำในการวิเคราะห์ ตัวชี้วัดเหล่านี้รวมถึงค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (Moving Averages), แคลคูลาเตอร์สโตคาสติกส์ (Stochastic Oscillator), แมคดี (Moving Average Convergence Divergence – MACD), แอตริบิวชั่น (Average True Range – ATR), และหลายอื่น ๆ ตัวชี้วัด
  • สนใจแนวรับแนวต้าน: การวิเคราะห์เทคนิคให้ความสำคัญในการตรวจสอบและระบุระดับเส้นสนับสนุนและเส้นความต้าน เหล่านี้เป็นระดับราคาที่มักมีผลบังคับแนวโน้มของราคา
  • การใช้การวิเคราะห์แบบแข็งแกร่ง (Pattern Recognition): การรู้จักและตรวจสอบรูปแบบแท่งเทียนและรูปแบบอื่น ๆ ที่อาจเกิดขึ้นบนกราฟ เช่น รูปแบบรั้ว (Flags), รูปแบบรั้วแห้ง (Pennants), รูปแบบรั้วตรง (Channels), และรูปแบบความสามารถในการกลับตัว (Reversal Patterns) เพื่อสร้างสัญญาณการซื้อขาย
  • การใช้การวิเคราะห์ตรรกะ (Technical Analysis and Statistics): บางครั้ง, การวิเคราะห์เทคนิคจะใช้วิเคราะห์สถิติเพิ่มเติมเพื่อคำนวณความน่าจะเป็นของการเกิดแนวโน้มต่อไป
  • การควบคุมความเสี่ยง: การวิเคราะห์เทคนิคไม่เพียงแต่เรียกดูแนวโน้มและสร้างสัญญาณการซื้อขาย แต่ยังควรรับรู้ถึงการจัดการความเสี่ยง รวมถึงการตั้งค่าระดับการขายกำหนดและการหยุดขาดทุน (Stop Loss) เพื่อปกป้องการลงทุน

การวิเคราะห์ข่าวสารและเหตุการณ์ทางเศรษฐกิจ (Fundamental Analysis)

การวิเคราะห์ข่าวสารและเหตุการณ์ทางเศรษฐกิจ (Fundamental Analysis) เป็นกระบวนการที่ใช้ข้อมูลเศรษฐกิจและการเงินเพื่อประเมินค่าของสินทรัพย์หรือตลาดทางการเงิน โดยการสำรวจและวิเคราะห์ปัจจัยที่อาจมีผลกระทบต่อราคาหรือมูลค่าของสินทรัพย์ เพื่อช่วยในการตัดสินใจการลงทุน

ขั้นตอนและหลักการสำคัญในการวิเคราะห์เบื้องต้น

  • การเก็งกำไรและขาดทุน (Profit and Loss Statement): การวิเคราะห์เศรษฐกิจทางพื้นฐานจะเริ่มต้นด้วยการตรวจสอบรายงานกำไรและขาดทุนของบริษัทหรือสินทรัพย์ รายงานนี้บ่งบอกถึงรายได้และค่าใช้จ่ายของบริษัท ซึ่งเป็นตัวชี้วัดสำคัญในการประเมินสมรรถนะการดำเนินธุรกิจ
  • บัญชีสมดุล (Balance Sheet): บัญชีสมดุลแสดงสถานะการเงินของบริษัทในขณะที่รายงานถูกเรียกดู มันระบุสินทรัพย์ทั้งหมดและหนี้สินของบริษัทในบางจุดในเวลาที่กำหนด มีความสำคัญในการประเมินความเสี่ยงของบริษัทและความสามารถในการจ่ายหนี้
  • การสำรองเงินสำหรับหนี้สิน (Provisions for Debt): การสำรองเงินสำหรับหนี้สินแสดงถึงการเตรียมตัวในกรณีที่มีความเสี่ยงในการชำระหนี้ การเพิ่มการสำรองเงินสำหรับหนี้สินอาจเป็นสัญญาณว่าบริษัทกำลังเผชิญกับความเสี่ยงในการชำระหนี้
  • การผลิตและการค้า (Production and Trade): ข้อมูลเกี่ยวกับการผลิตและการค้าในประเทศหรือภูมิภาคสามารถใช้ในการประเมินสถานการณ์เศรษฐกิจ ความเปลี่ยนแปลงในการผลิตและการค้าส่งผลต่อของหลายสินค้าและบริการ
  • อัตราดอกเบี้ย (Interest Rates): อัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางหรือธนาคารอื่น ๆ มีผลกระทบต่อระดับการลงทุนและการกู้ยืมเงินของบริษัทและบุคคล
  • การเศรษฐกิจสังคม (Socioeconomic Factors): ปัจจัยทางสังคมและเศรษฐกิจอื่น ๆ เช่น การอาศัยอาจมีผลในการบริโภคและกิจการธุรกิจ
  • การนำเข้าและการส่งออก (Imports and Exports): ข้อมูลเกี่ยวกับการนำเข้าและการส่งออกสินค้าและบริการสามารถช่วยในการประเมินความสามารถในการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ
  • ประชากรและแรงงาน (Population and Labor): ข้อมูลเกี่ยวกับประชากรและแรงงานสามารถส่งผลให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในการบริโภคและการจ้างงาน
  • การวิเคราะห์ข่าวสาร (News Analysis): ข่าวสารทางเศรษฐกิจและเหตุการณ์ทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นในปัจจุบันมีผลกระทบให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในตลาด การติดตามข่าวและการวิเคราะห์ความผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นเป็นส่วนสำคัญในการทำงาน

การจัดการความเสี่ยง (Risk Management)

การจัดการความเสี่ยง (Risk Management) เป็นกระบวนการที่มุ่งเน้นไปที่การรับรู้และควบคุมความเสี่ยงในกิจกรรมการลงทุนและการซื้อขายในตลาดทางการเงิน โดยวัตถุประสงค์หลักคือการลดความเสี่ยงในการสูญเสียเงินลงทุน

 หลักการสำคัญในการจัดการความเสี่ยง

  • การรับรู้ความเสี่ยง: ขั้นแรกในการจัดการความเสี่ยงคือการรับรู้ความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นในการลงทุนหรือการซื้อขายของเทรดเดอร์ ความเสี่ยงสามารถมาจากการเปลี่ยนแปลงของราคา, การผิดหวังของกลยุทธ์การซื้อขาย, และปัจจัยอื่น ๆ ที่อาจมีผลกระทบต่อการลงทุนของเทรดเดอร์
  • การตั้งค่าขีดจำกัด (Setting Limits): การจัดการความเสี่ยงรวมถึงการตั้งค่าขีดจำกัดสำหรับการขาดทุน (Stop Loss) และขีดจำกัดของการเพิ่มโพรงสูง (Take Profit) ในการเทรด นี้ช่วยลดความเสี่ยงของการสูญเสียมากและช่วยให้เทรดเดอร์มีการควบคุมมากขึ้นในการเทรด
  • การคำนวณขนาดการเทรด (Position Sizing): การกำหนดขนาดของการเทรดในแต่ละราคา นี่มีผลในการจัดการความเสี่ยงโดยรวมของพอร์ตการลงทุนของเทรดเดอร์ เทรดเดอร์ควรตรวจสอบว่าขนาดของการเทรดไม่เกินร้อยละหนึ่งหรือสอดคล้องกับระดับความเสี่ยงที่เทรดเดอร์สามารถรับได้
  • ควบคุมการแบ่งแยกทางการลงทุน (Diversification): การกระจายการลงทุนในหลายสินทรัพย์หรือตลาดทางการเงินที่แตกต่างกันช่วยลดความเสี่ยง หากมีผลกระทบในตลาดหนึ่งที่เป็นตกลงเทรดเดอร์จะมีความคุ้มครองจากการลงทุนในสินทรัพย์หรือตลาดอื่น ๆ
  • การใช้การวิเคราะห์เทคนิค (Technical Analysis) และข้อมูลพื้นฐาน (Fundamental Analysis): การวิเคราะห์ตลาดและการศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับสินทรัพย์หรือตลาดนั้นเป็นส่วนสำคัญของการจัดการความเสี่ยง เพื่อให้เทรดเดอร์ทราบถึงโอกาสและความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนของเทรดเดอร์
  • การตรวจสอบและปรับเปลี่ยนโพรงสูง (Risk Assessment and Adjustment): ควรตรวจสอบโพรงสูงและยุบโพรงสูงในพอร์ตการลงทุนของเทรดเดอร์อย่างสม่ำเสมอ เมื่อมีเปลี่ยนแปลงในเงื่อนไขตลาดหรือเหตุการณ์ทางเศรษฐกิจที่ส่งผลกระทบ
  • การปรับกลยุทธ์ (Strategy Adjustment): หากกลยุทธ์การลงทุนของเทรดเดอร์ไม่ดำเนินไปตามที่เทรดเดอร์คาดหวังหรือมีการเปลี่ยนแปลงในตลาด เทรดเดอร์ควรพิจารณาปรับเปลี่ยนกลยุทธ์เพื่อให้เหมาะสมกับสถานการณ์ใหม่

การติดตามและการวิเคราะห์ข้อมูลทางเทคนิคอื่น ๆ

เทคนิคหลายอย่างมีการพัฒนาอยู่เสมอ นักเทรดมักติดตามและทดลองใช้เทคนิคใหม่ ๆ ที่เป็นไปได้

รูปแบบกราฟเปล่า มีกี่แบบ

รูปแบบกราฟเปล่า มีกี่แบบ
รูปแบบกราฟเปล่า มีกี่แบบ

มีหลายรูปแบบของกราฟเปล่าที่ใช้ในการวิเคราะห์ราคาของสินทรัพย์หรือสินค้าในตลาดการเงิน รูปแบบและรูปร่างของกราฟเหล่านี้จะแตกต่างกันตามวิธีการแสดงข้อมูล โดยบางรูปแบบระบุราคาที่เปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาที่ระบุและบางรูปแบบระบุราคาเปิด, ปิด, สูงสุด, ต่ำสุด ในช่วงเวลานั้น ๆ

รูปแบบกราฟเปล่าที่พบบ่อย

  • กราฟแท่งเทียน (Candlestick Chart): รูปแบบกราฟที่แสดงข้อมูลราคาโดยใช้แท่งเทียน แต่ละแท่งมีเส้นด้านบนและด้านล่างคือราคาเปิดและปิด และเส้นของแท่งเทียนแสดงราคาสูงสุดและต่ำสุดในช่วงเวลาที่กำหนด
  • กราฟแท่งแบบเทียนโซคุล (Heikin-Ashi Candlestick Chart): รูปแบบกราฟที่คล้ายกับกราฟแท่งเทียน แต่มีการคำนวณแทนที่ของราคาเปิด, ปิด, สูงสุด, และต่ำสุดเพื่อลดความเปลี่ยนแปลงที่เร็วของราคาและแสดงแนวโน้มอย่างชัดเจนขึ้น
  • กราฟแท่งราคาของ Renko (Renko Chart): รูปแบบกราฟที่ไม่ใช้เวลาเป็นตัวตัดสินใจแต่จะวาดแท่งเทียนขึ้นเมื่อราคาเคลื่อนที่ข้างหน้าที่กำหนดไว้ เมื่อราคาเลื่อนข้างต้นหรือข้างล่างตามกฎที่กำหนด จะมีการวาดแท่งเทียนใหม่
  • กราฟเส้น (Line Chart): รูปแบบกราฟที่ใช้เส้นต่อเนื่องเพื่อแสดงราคาเปิดหรือปิด โดยส่วนใหญ่จะใช้ในการแสดงแนวโน้มราคาในระยะยาว
  • กราฟแท่งเทียนราคาเฉลี่ย (Heikin-Ashi Average Bar): รูปแบบกราฟที่ผสมระหว่างกราฟแท่งเทียนและค่าเฉลี่ยของราคาเพื่อแสดงแนวโน้มราคาเฉลี่ยในระยะเวลาที่กำหนด
  • กราฟแท่งสำรอง (Renko Shadow Chart): รูปแบบกราฟ Renko ที่เพิ่มข้อมูลแท่งและเส้นสร้างและแสดงราคาสูงสุดและต่ำสุดของแท่งในกราฟ
  • กราฟ P&F (Point and Figure Chart): รูปแบบกราฟที่ใช้สัญญาณ “X” และ “O” เพื่อแสดงการเปลี่ยนแปลงของราคาและต่ำสุดในช่วงเวลาที่กำหนด
  • กราฟเวลาแท่ง (Time-Based Renko Chart): รูปแบบกราฟที่ผสมการใช้ระยะเวลาและการเคลื่อนที่ของราคาเพื่อสร้างกราฟแท่ง

สรุปเทรดกราฟเปล่า

การเทรดกราฟเปล่า (Chart Trading) เป็นวิธีการเทรดที่ไม่ใช้ตัวชี้วัดทางเทคนิคหรือตัวช่วยในการตัดสินใจการซื้อขาย แทนที่จะพึ่งพาตัวชี้วัด การเทรดกราฟเปล่าใช้การวิเคราะห์กราฟราคาโดยตรงเพื่อตัดสินใจการเปิดหรือปิดตำแหน่งการซื้อขาย