MPL forex คืออะไร รูปแบบกราฟเป็นอย่างไร Maximum Paint Level ที่เทรดเดอร์ต้องรู้

Table of Contents

MPL forex คืออะไร

MPL forex คืออะไร รูปแบบกราฟเป็นอย่างไร Maximum Paint Level ที่เทรดเดอร์ต้องรู้
MPL forex คืออะไร รูปแบบกราฟเป็นอย่างไร Maximum Paint Level ที่เทรดเดอร์ต้องรู้

MPL (Margin Protection Level) ในทางการเงินหรือตลาด Forex (ตลาดแลกเปลี่ยนเงินตรา) หมายถึงระดับความปลอดภัยของการลงทุนหรือการเทรดในตลาดนี้ โดยคำนวณจากมูลค่าของเงินที่เทรดเดอร์ลงทุนและมูลค่าของการสูญเสียที่เทรดเดอร์สามารถรับได้โดยไม่กระทบถึงเงินทุนเริ่มต้นของเทรดเดอร์ (Margin) ในกรณีที่ตลาดเปลี่ยนแปลงต่อไป

MPL เป็นเครื่องมือที่ใช้ในการจัดการความเสี่ยงในการเทรด Forex โดยการกำหนด MPL ให้สูงขึ้นจะช่วยลดความเสี่ยงที่เทรดเดอร์จะขาดทุนมากขึ้น แต่ก็จะมีผลกระทบต่อการคาดหวังในผลตอบแทนที่สูงขึ้นด้วย การกำหนด MPL ให้ต่ำลงจะช่วยลดความเสี่ยงที่เทรดเดอร์จะขาดทุนน้อยลง แต่อาจทำให้เทรดเดอร์ไม่สามารถมีการผลกำไรมากมาย

การกำหนด MPL ในการเทรด Forex มักจะขึ้นอยู่กับความเสี่ยงที่เทรดเดอร์สามารถรับได้ และวิเคราะห์ความเสี่ยงในพอร์ตการลงทุนของเทรดเดอร์ เทรดเดอร์ต้องรู้จักวิเคราะห์ตลาดและรายได้/รายจ่ายของเทรดเดอร์อย่างดีเพื่อกำหนด MPL ที่เหมาะสม

MPL forex รูปแบบกราฟเป็นอย่างไร

MPL (Margin Protection Level) ใน Forex ไม่มีกราฟและไม่มีรูปแบบกราฟเฉพาะของมันเอง นี่เป็นเครื่องมือหรือค่าที่เทรดเดอร์ต้องกำหนดและจัดการด้วยตนเอง เพื่อความปลอดภัยของการลงทุนในตลาด Forex

การกำหนด MPL เป็นกระบวนการที่เทรดเดอร์คำนึงถึงระดับความเสี่ยงที่เทรดเดอร์พร้อมรับผ่านการเทรด Forex โดยเทรดเดอร์จะต้องคำนวณ MPL ขึ้นอยู่กับเทรดเดอร์สมบัติและสถานะการเงินของเทรดเดอร์ เพื่อให้มั่นใจว่า  เทรดเดอร์มีความปลอดภัยในการทำธุรกรรม

การกำหนด MPL อาจคำนวณจากค่าต่าง ๆ ดังนี้

มูลค่าของสกุลเงิน

เทรดเดอร์ต้องคำนวณว่ากำลังเทรดกับมูลค่าเท่าไหร่ สำหรับตัวอย่างง่าย ๆ ถ้าเทรดเดอร์ซื้อหรือขายสกุลเงิน EUR/USD ในขณะที่ราคาปัจจุบันคือ 11000 และเทรดเดอร์ซื้อ 1 ล็อต (100,000 หน่วย) เทรดเดอร์จะต้องใช้เงินประมาณ 110,000 USD ดังนั้น MPL ของเทรดเดอร์จะเกิดขึ้นเมื่อราคาของ EUR/USD ลดลงเพียง 10 เปิดใช้ตำแหน่งของเทรดเดอร์

การใช้ความปลอดภัย

เทรดเดอร์ควรกำหนดระดับความเสี่ยงที่เทรดเดอร์พร้อมรับ ยกตัวอย่างเช่น เทรดเดอร์อาจต้องการให้ MPL ของเทรดเดอร์มีระดับความเสี่ยงไม่เกิน 2% ของเงินทุนเริ่มต้นของเทรดเดอร์

การวิเคราะห์การตลาด

เทรดเดอร์ควรพิจารณาผลกระทบของการวิเคราะห์การตลาดและข่าวสารเศรษฐกิจที่อาจทำให้ตลาดเปลี่ยนแปลง และกำหนด MPL ให้สอดคล้องกับความคาดหวังในสถานการณ์ต่าง ๆ นี้

การคาดการณ์ขาดทุน

เทรดเดอร์ควรคำนวณว่าหากตลาดเปลี่ยนแปลงมากแค่ไหน เทรดเดอร์สามารถรับผลกระทบน้อยที่สุด และกำหนด MPL ให้เท่ากับหรือน้อยกว่าความเสี่ยงที่เทรดเดอร์พร้อมรับ

Maximum Paint Level ที่เทรดเดอร์ต้องรู้

Maximum Paint Level ที่เทรดเดอร์ต้องรู้
Maximum Paint Level ที่เทรดเดอร์ต้องรู้

การรู้ Maximum Paint Level (ระดับการหมุนสูงสุด) เป็นสิ่งสำคัญสำหรับผู้เล่นเทรดเดอร์หรือผู้ลงทุนในตลาดหุ้น และทรัพยากรการเงินที่อยู่ในพอร์ตการลงทุนของพวกเขา เราสามารถนิยาม Maximum Paint Level ได้เป็นระดับหรือขีดจำกัดของความเสี่ยงที่เทรดเดอร์หรือลงทุนพร้อมรับได้ในการซื้อขายหรือลงทุนของตนเอง

 ขั้นตอนการกำหนด Maximum Paint Level สามารถทำได้โดยการพิจารณาปัจจัยต่าง ๆ ดังนี้

ระดับความเสี่ยง

เทรดเดอร์หรือผู้ลงทุนควรประเมินระดับความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนของตนเอง นี่รวมถึงการวิเคราะห์ความเสี่ยงทางการเงิน และความเสี่ยงทางตลาด โดยคำนึงถึงความแข็งแกร่งของพอร์ตเมื่อตลาดขายอย่างไม่คาดคิด ความเสี่ยงที่สูงขึ้นจะต้องมี Maximum Paint Level ที่ต่ำกว่าเพื่อป้องกันความเสี่ยงที่เกินไป

ระดับความเสี่ยงสามารถแบ่งออกเป็นหลายระดับตามลักษณะความเสี่ยง ดังนี้
  • ความเสี่ยงต่ำ: ระดับความเสี่ยงต่ำคือระดับความเสี่ยงที่น้อยที่สุดในการลงทุนหรือการเทรด มักเกี่ยวข้องกับการลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความนิยมและเสถียร โดยความขาดทุนในระดับนี้มักเป็นเรื่องน้อยและมีความเสี่ยงต่ำต่อการสูญเสียเงินทุน
  • ความเสี่ยงปานกลาง: ระดับความเสี่ยงปานกลางเกิดขึ้นเมื่อเทรดเดอร์ลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงเป็นปานกลาง ความขาดทุนอาจเป็นไปได้และเทรดเดอร์ต้องรับความเสี่ยงของการสูญเสียบางส่วนของเงินทุน
  • ความเสี่ยงสูง: ระดับความเสี่ยงสูงเกิดขึ้นเมื่อเทรดเดอร์ลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูง ระดับความขาดทุนมีโอกาสสูงขึ้นและเทรดเดอร์ต้องรับความเสี่ยงที่มากขึ้นในการสูญเสียเงินทุน
การประเมินระดับความเสี่ยงที่เหมาะสมสำหรับเทรดเดอร์ควรพิจารณาหลายปัจจัย ดังนี้
  • สถานะการเงิน: ความสามารถในการรับความเสี่ยงขึ้นอยู่กับสถานะการเงินของเทรดเดอร์ เทรดเดอร์ควรกำหนดระดับความเสี่ยงที่เทรดเดอร์พร้อมรับในแต่ละช่วงเวลา
  • รายได้และรายจ่าย: ความสามารถในการรับความเสี่ยงมีขึ้นอยู่กับรายได้และรายจ่าย เทรดเดอร์ควรให้ความสำคัญกับความสมดุลในการเงิน
  • ระยะเวลาการลงทุน: ระยะเวลาที่เทรดเดอร์ต้องการลงทุนมีผลในระดับความเสี่ยง การลงทุนระยะยาวสามารถรับความเสี่ยงได้มากกว่าการลงทุนระยะสั้น

ความสามารถในการรับความเสี่ยง

เทรดเดอร์หรือผู้ลงทุนควรตระหนักถึงความสามารถในการรับความเสี่ยงของตนเอง นั่นคือความสามารถในการกลับมาจากขาดทุน หากพวกเขาไม่สามารถรับความเสี่ยงในระดับที่ตั้งไว้ได้ ก็ควรลด Maximum Paint Level

ความสามารถในการรับความเสี่ยงสามารถขึ้นอยู่กับหลายปัจจัยดังนี้
  • การเข้าใจความเสี่ยง: ความเข้าใจความเสี่ยงคือการรู้จักและเข้าใจถึงความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นในการลงทุนหรือการดำเนินกิจกรรมทางการเงินของเทรดเดอร์ นี้รวมถึงการเข้าใจความเสี่ยงทางการเงินและความเสี่ยงทางตลาด
  • ความสม่ำเสมอ: การมีความสม่ำเสมอหมายถึงการจัดการกับการเสี่ยงอย่างต่อเนื่องและรอบคอบ เทรดเดอร์ต้องสามารถทราบถึงความเสี่ยงและปรับแผนการลงทุนหรือการดำเนินกิจกรรมทางการเงินของเทรดเดอร์ตามสถานการณ์
  • สถานะการเงิน: สถานะการเงินของเทรดเดอร์มีผลในความสามารถในการรับความเสี่ยง เทรดเดอร์ควรมีความสามารถในการรับความเสี่ยงที่ตรงกับสถานะการเงินของเทรดเดอร์ โดยไม่ควรลงทุนหรือดำเนินกิจกรรมทางการเงินเกินความสามารถ
  • ระยะเวลาการลงทุน: ระยะเวลาที่เทรดเดอร์มีในการลงทุนมีผลต่อความสามารถในการรับความเสี่ยง การลงทุนระยะยาวมักมีความเสี่ยงต่ำกว่าการลงทุนระยะสั้น
  • การดูแลบริหารความเสี่ยง: ความสามารถในการรับความเสี่ยงรวมถึงความสามารถในการวางแผนและดำเนินการเพื่อลดความเสี่ยง นี้รวมถึงการใช้เครื่องมือการประกัน (Hedging) หรือการกระจายพอร์ตการลงทุนเพื่อลดความเสี่ยง

รายได้และรายจ่าย

ควรพิจารณารายได้และรายจ่ายทั้งปัจจุบันและอนาคต เพื่อให้แน่ใจว่า Maximum Paint Level ที่กำหนดมีความเหมาะสมกับสภาพการเงินปัจจุบันและสามารถรับมือกับความเสี่ยงที่เกิดขึ้น

การกระจายพอร์ต

การกระจายพอร์ตการลงทุนในหลายสินทรัพย์หรือกลุ่มสินทรัพย์สามารถช่วยลดความเสี่ยง โดย Maximum Paint Level ควรรองรับการกระจายพอร์ตที่เทรดเดอร์ต้องการ

นี่คือขั้นตอนที่สำคัญในการกระจายพอร์ต
  • วางแผนการลงทุน: ก่อนที่เทรดเดอร์จะกระจายพอร์ต เทรดเดอร์ควรทำการวางแผนการลงทุนเพื่อกำหนดเป้าหมายการลงทุนและความเสี่ยงที่เทรดเดอร์พร้อมรับ ต้องการระยะเวลาการลงทุนยาวหรือสั้น และความต้องการในการเก็บรายได้หรือความเติมเต็มส่วนไหนของพอร์ต
  • คาดการณ์ความเสี่ยง: การวิเคราะห์ความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับแต่ละสินทรัพย์หรือกลุ่มสินทรัพย์ที่เทรดเดอร์ลงทุนเข้าไป เพื่อความเข้าใจในความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น
  • การกระจายสินทรัพย์: กระจายเงินหรือสินทรัพย์ของเทรดเดอร์ในสินทรัพย์หลายประเภท ไม่ให้แต่ละส่วนของพอร์ตมีความสัมพันธ์กันสูงเกินไป เช่น การลงทุนในหุ้น, ตราสารหนี้, อสังหาริมทรัพย์, และสินทรัพย์ให้เช่า
  • ความสมดุล: เทรดเดอร์ควรพิจารณาความสมดุลของพอร์ต ซึ่งหมายถึงการให้น้ำหนักที่เหมาะสมในแต่ละส่วนของพอร์ตเพื่อให้ความเสี่ยงและผลตอบแทนมีความสมดุล
  • การตรวจสอบและปรับพอร์ต: การตรวจสอบพอร์ตเป็นประจำเพื่อปรับการกระจายพอร์ตตามความเสี่ยงที่เปลี่ยนแปลง และสภาพตลาด
  • การรับความเสี่ยง: ควรตระหนักถึงความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นแม้ว่าเทรดเดอร์ได้กระจายพอร์ต ความเสี่ยงมีอยู่เสมอและเทรดเดอร์ต้องพร้อมรับมัน

ความคาดหวังในผลตอบแทน

ควรพิจารณาความคาดหวังในผลตอบแทนที่เทรดเดอร์ต้องการจากการลงทุน หากเทรดเดอร์ต้องการผลตอบแทนที่สูงขึ้น ควรระมัดระวัง Maximum Paint Level ให้สูงขึ้น แต่อย่าละเลยความความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น

ขั้นตอนที่สำคัญในการกำหนดความคาดหวังในผลตอบแทน
  • การวางแผนการลงทุน: ก่อนที่เทรดเดอร์จะกำหนดคาดหวังในผลตอบแทน เทรดเดอร์ควรวางแผนการลงทุนโดยคำนึงถึงเป้าหมายการเงินของเทรดเดอร์ ว่าเทรดเดอร์ต้องการเงินเพิ่มขึ้นหรือสร้างความมั่นคงในการเงิน
  • การวิเคราะห์รายได้และรายจ่าย: ความคาดหวังในผลตอบแทนต้องขึ้นอยู่กับรายได้และรายจ่ายของเทรดเดอร์ เทรดเดอร์ควรคำนวณรายได้ที่คาดหวังจะมีในอนาคตและต้องการใช้เงินในระดับใด
  • ความเสี่ยง: การคาดหวังในผลตอบแทนต้องพิจารณาความเสี่ยงที่เทรดเดอร์พร้อมรับ ความเสี่ยงสูงมักมาพร้อมกับโอกาสที่ผลตอบแทนจะมีค่าสูง แต่มีความเสี่ยงสูญเสียมากขึ้นด้วย
  • ประเภทของการลงทุน: ประเภทของการลงทุนที่เทรดเดอร์เลือกจะมีผลในความคาดหวังในผลตอบแทน การลงทุนในหุ้น, ตราสารหนี้, อสังหาริมทรัพย์, หรือสินทรัพย์อื่น ๆ มีความคาดหวังและความเสี่ยงที่แตกต่างกัน
  • ประสบการณ์และความรู้: ความรู้และประสบการณ์ในการลงทุนมักมีผลในการกำหนดความคาดหวังในผลตอบแทน ผู้ลงทุนที่มีประสบการณ์มากๆ อาจมีคาดหวังที่สูงขึ้นเนื่องจากความเข้าใจของตลาดและกลยุทธ์การลงทุน
  • การตรวจสอบและปรับแผน: ควรตรวจสอบและปรับคาดหวังในผลตอบแทนอย่างสม่ำเสมอตามสถานการณ์และผลการลงทุนของเทรดเดอร์

ระยะเวลาการลงทุน

ระยะเวลาที่เทรดเดอร์ต้องการลงทุนก็สำคัญ เช่น การลงทุนระยะยาวสามารถทนต่อความเสี่ยงได้มากกว่าการลงทุนระยะสั้น

ข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับระยะเวลาการลงทุน
  • ระยะสั้น (Short-term): ระยะเวลาการลงทุนระยะสั้นมักหมายถึงระยะเวลาน้อยกว่า 1 ปี หรือการลงทุนที่มีเวลาหมุนเวียนสั้นๆ เช่น การลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ระยะสั้นหรือการซื้อขายครั้งเดียวในหุ้น
  • ระยะกลาง (Medium-term): ระยะเวลาการลงทุนระยะกลางมักหมายถึงระยะเวลาที่อยู่ระหว่างระยะสั้นและระยะยาว อาจเป็นระยะเวลา 1 ถึง 5 ปี หรือการลงทุนที่มีเวลาหมุนเวียนปานกลาง เช่น การลงทุนในกองทุนรวมหรือการซื้อหุ้นที่คาดหวังว่าจะได้กำไรในอนาคตที่ใกล้
  • ระยะยาว (Long-term): ระยะเวลาการลงทุนระยะยาวหมายถึงการลงทุนที่คาดหวังจะมีผลตอบแทนในระยะเวลายาวนาน มากกว่า 5 ปี หรือแม้แต่หลาย 10 ปีขึ้นไป ระยะเวลาการลงทุนระยะยาวมักใช้ในการสร้างความมั่งคั่งในอนาคต เช่น การลงทุนในกองทุนรวมเพื่อเตรียมเกษียณหรือการลงทุนในสินทรัพย์อสังหาริมทรัพย์
  • ระยะเวลาที่กำหนด: ระยะเวลาการลงทุนอาจมีวงเงินที่กำหนดไว้ เช่น การลงทุนในการศึกษาของลูกหลานหรือการสร้างที่อยู่อาศัยในอนาคต ซึ่งจะมีระยะเวลาการลงทุนที่กำหนดไว้ล่วงหน้า

สรุป MPL forex

MPL (Margin Protection Level) ในการเทรด Forex หมายถึงระดับความเสี่ยงที่เทรดเดอร์กำหนดเพื่อป้องกันความสูญเสียในการเทรดตลาดเงินตราต่างประเทศ (Forex) หรือตลาดอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ MPL เป็นส่วนสำคัญในการจัดการความเสี่ยงและเป็นวิธีในการควบคุมการใช้งานของมาร์จิ้น (Margin) ในการเทรด Forex ของเทรดเดอร์